วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

9 วิธีรับมือกับอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

แม้หลายคนจะคิดว่าเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง เราก็มีโอกาสเป็นหวัดได้เป็นธรรมดา แต่เชื่อไหมว่าหากแข็งแรงเต็มร้อยแล้ว ไม่ว่าอากาศจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร หวัดก็ไม่สามารถทำให้เราล้มหมอนนอนเสื่อกันได้ง่ายๆ เรามาดูแลสุขภาพต้านหวัดด้วยวิธีต่อไปนี้กัน
     1.นอนหลับให้เพียงพอ มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการนอนหลับไม่เพียงพอทำให้ จำนวนเซลล์ในร่างกายที่ทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรคต่างๆ ลดลง จึงควรนอนหลับสนิททุกๆ วัน

     2. ออกกำลังกาย ชอบออกกำลังกายแบบไหน เลือกได้ตามความชอบและความถนัด แล้วทำอย่างต่อเนื่องวันละครึ่งชั่วโมงช่วยเพิ่มเซลล์ที่ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้มากมาย

     3. ล้างมือด้วยสบู่ โดยใส่ใจการล้างมือเป็นพิเศษก่อนรับประทานอาหาร หลังกลับนอกบ้าน หลังจากใช้ห้องน้ำสาธารณะ สัมผัสกับสัตว์ และหลังการไอหรือจาม

     4.แยกเก็บแปรงสีฟัน เมื่อมีคนในครอบครัวป่วย ให้แยกเก็บแปรงสีฟันของคนป่วยออกจากของคนอื่นๆ หลังจากหายป่วยแล้ว ให้จุ่มแปรงสีฟันในน้ำเดือดเพื่อฆ่าเชื้อโรค

     5.ซักผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดมือต้องสะอาดเสมอ แนะนำให้ซักในน้ำร้อนทุก 3-4 วัน โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นหวัดกันมาก

     6. ดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยป้องกันอาการป่วยได้ เนื่องจากน้ำทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ในระบบทางเดินหายใจชุ่มชื้น ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคฝังตัว และทำให้ระบบภูมิชีวิตทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

     7.เปิดหน้าต่าง เพื่อให้มีอากาศถ่ายเท ซึ่งทำให้ร่างกายได้รับสารจากธรรมชาติในอากาศไปพร้อมๆ กับไล่เชื้อโรคที่มีอยู่ด้วย ทำให้ระบบภูมิชีวิตแข็งแรงขึ้น

     8. ผ่อนคลาย การทำสมาธิ หลับตา หายใจลึกๆ คิดถึงความสุข ช่วยลดความเครียด ทำให้ร่างกายไม่ป่วยง่าย

     9.วิตามินซีจากธรรมชาติ แครอท กีวี ลูกเกด ถั่วเขียว ส้ม สตรอว์เบอร์รี่ บร็อคโคลี่ ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลีมีสารพฤกษเคมีอย่างวิตามินซีและแคโรทีนอยด์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตได้

แหล่งข้อมูล
http://board.postjung.com/541204.html

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

ท่าบริหารกล้ามท้องอย่างรวดเร็ว





ใครอยากมีซิกแพ็คก็ลองทำดูนะครับ

ข้อมูลวีดีโอ
http://www.youtube.com

มารู้จักกีฬาเพาะกายกันดีกว่า




ประวัติกีฬาเพาะกาย

กีฬาเพาะกายกำเนิดเกิดขึ้นมานานแล้วประมาณ 300 กว่าปี โดยได้รับอิทธิพลจากคนโบราณที่มักจะอวดรูปร่างอันเต็มไปด้วยมัดกล้ามจากการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งได้ที่ผ่านการทดลองจนมีผลการวิจัยและมีผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์เรื่องกล้ามเนื้อของกีฬาเพาะกาย กระทั่งได้รับการยอมรับจัดตั้งสมาคม ไอเอฟบีบี ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นเริ่มจัดประกวดชายงามที่เล่นกีฬาเพาะกาย ในปี พ.ศ. 2513 นับว่ากระแสความแรงของเพาะกายโด่งดังไปทั่วโลก เมื่อชายงามที่เข้าประกวดเพาะกาย เปลี่ยนวิถีชีวิตเป็น superstar อาทิ อาร์โนลด์ ชวาลสเน็กเกอร์ , ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน หลังจากนั้นถือเป็นมาตรฐานของฮอลลีวู้ด กำหนดไว้ว่าดาราที่มาจากการประกวดชายงามจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ





เคล็ดลับกีฬาเพาะกาย
กีฬาเพาะกายมีท่าบริหารกล้ามเนื้อมากมายหลายรูปแบบให้เลือกหากต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อส่วนใดของร่างกายก็ควรเลือก ท่าบริหารที่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อนั้นๆ คือ ถ้าต้องการปรับกล้ามเนื้อบริเวณท้องด้านบน ควรเลือกท่าบริหารหน้าท้องส่วนบนและส่วนกลาง เช่น ท่า CRUNCH
1.นอนหงาย ประสานมือสอดท้ายทอย หรือการกอดอกแทนก็ได้
2. ตอนอยู่ในจังหวะที่ 2 ให้เกร็งหน้าท้อง ไว้ประมาณ 4 วินาที
3. จากจังหวะ 1 ไปจังหวะ 2 หายใจออก ขาควรพาดไว้บนอุปกรณ์ระดับเข่าและส่วนขาไม่ควรเคลื่อนไหว

เมื่อตั้งใจจะเล่นกีฬาเพาะกายให้ได้ผลดี อย่าลืมเคล็ดลับที่สำคัญที่สุดคือ
1. ก่อนการเล่นเพาะกายต้อง วอร์มอัพอบอุ่นร่างกาย กระตุ้นกล้ามเนื้อ เป็นเวลาประมาณ 30 - 40 นาที
2. เข้าสู่การเล่นเพาะกาย
3. สิ้นสุดการเล่นด้วยการคลายกล้ามเนื้อ 10 - 15 นาที




พี่สิทธิ นักกล้ามเหรียญทอง


ข้อควรระวังเล่นเพาะกาย

อาการบาดเจ็บจากการเล่นเพาะกายจะส่งผลต่อกล้ามเนื้อ ยังมีความผิดพลาดจากการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม เช่น ต้องการรับประทานโปรตีน จึงเลือกรับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไป เมื่ออายุของนักเพาะกายมากขึ้นอาจได้รับการสะสมของกรดยูริค ส่งผลให้เป็นจุดเริ่มต้นของโรคเก๊าท์


ประโยชน์จากเพาะกาย

จากรายงานของ NATIONAL INSTITUTION OF HEALTH - AMERICA " ระบุว่ากีฬาเล่นกล้าม หรือเพาะกายเป็นกีฬา ที่ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจมากเช่นเดียวกับวิ่งจ๊อกกิง มวยปล้ำ " แต่ข้อเด่นของกีฬาเพาะกายเองก็มีมากกลายเป็นเอกลักษณ์พิเศษ ทำให้กีฬาเพาะกายยังเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มชายชาตรีเสมอมา


แหล่งข้อมูล

11 วิธีในการมีซิกแพ็ค

1. ต้องให้การเคลื่อนไหวของร่างกายมันสมูทหรือสม่ำเสมอกันทุกครั้ง ทั้งในตอนที่ยกขึ้นและลดลง แรงจากกล้ามท้องจะได้ต่อเนื่องกันตลอด


2. อย่าทำเร็วเกินไปครับ เพราะมันจะทำให้กล้ามท้องออกแรงไม่เต็มที่ ขึ้นให้สุดแล้วลงให้มิด....ตามเพลงโจอี้บอย*0*


3. ควรค้างไว้สักครู่ (ประมาณ 1 – 2 วินาที) ในตอนที่กล้ามท้องหดตัวมากที่สุด เพื่อให้มันได้ออกแรงเพิ่มขึ้นอีกนิด


4. อย่าหยุดแช่ไว้หลังจากที่เล่นแต่ละครั้งเสร็จเป็นอันขาด ต้องเล่นต่อทันที ไม่งั้นกล้ามท้องมันจะมีโอกาสเรียกกำลังกลับคืน จนทำให้ไม่ต้องออกแรงมากนักในครั้งต่อไป แต่คุณสามารถหยุดพักได้ประมาณ 20 วินาที ก่อนที่จะเล่นเซตถัดไปครับ


5. พยายามให้ศีรษะเป็นธรรมชาติ อย่าก้มหน้าเอาคางแตะคอ ประเดี๋ยวคอมันจะเคล็ด  ควรให้หน้ามองตรงเอาไว้ (สบตาคนเซฟก็ได้ครับ เผื่อ ปิ๊งปั๊ง ๆ 55)


6. สำหรับท่าที่ต้องเอามือแตะที่ด้านหลังของศีรษะนั้น ท่าที่ถูก จะต้องเอาปลายนิ้วมือแตะมันตรงบริเวณด้านหลังของใบหู ถ้าคุณเคยชินกับการประสานมือกันไว้ ในกรณีที่แตะทั้งสองมือก็ต้องระวัง อย่าเผลอใช้มือออกแรงดันศีรษะ (ซึ่งมักจะตามด้วยการเอาคางไปแนบคอ) 


7. ส่วนท่าที่ต้องบิดเอวเพื่อบริหารกล้ามท้องด้านข้าง คุณจะต้องยื่นหัวไหล่ข้างหนึ่งไปหาลำตัวหรือขาอีกข้าง ไม่ใช่เอามือหรือข้อศอกไปหามัน เพราะแบบนั้นจะทำให้กล้ามท้องด้านข้างออกแรงน้อยลง (ยกเว้นท่าเลกทวิสต์ เพราะมันเล่นกลับกัน คือจะให้หัวไหล่อยู่เฉยๆ แล้วก็เคลื่อนขาทั้งสองแทน)


8. อีกอย่าง คุณจะต้องหายใจเข้าออกให้เป็นจังหวะด้วย นั่นคือ หายใจออกในช่วงที่กระดูกซี่โครงเคลื่อนเข้าหากระดูกเชิงกราน (อย่างเช่นตอนที่ยกไหล่ทั้งสองขึ้นในท่าครันช์) หรือกระดูกเชิงกรานเคลื่อนเข้าหากระดูกซี่โครง (อย่างเช่นตอนที่งอเข่าทั้งสองเข้ามาหาหน้าอกในท่าเลกพูลอิน) หรือไม่ก็กระดูกทั้งสองเคลื่อนเข้าหากัน (อย่างเช่นตอนที่ยกไหล่ทั้งสองกับขาข้างหนึ่งขึ้นในท่าครันช์เลกลิฟต์) แล้วก็หายใจเข้าในช่วงที่มันกลับสู่ตำแหน่งเดิม


9. เกี่ยวกับจำนวนครั้งที่จะต้องเล่นในแต่ละเซตนั้น ถ้าคุณต้องการให้หน้าท้องของคุณมีกล้ามขึ้นมาเป็นลูกๆ อย่างเห็นได้ชัด    ก็เล่นเซตละ 10 – 15 ครั้ง(เน้น ๆ) แต่ถ้าเอาแค่ให้มันเป็นลอนนิดๆ พอสวย โดยที่มันจะต้องมีความทนทานบ้าง ก็เล่นให้มากขึ้นเป็นเซตละ 20 – 25 ครั้ง ส่วนการเล่นเซตละเป็นร้อยๆ ครั้งแบบพวกนักมวยที่บางคนชอบทำ ที่จริงมันจะไม่สามารถช่วยให้มีกล้ามท้องขึ้นมาได้เลย จะมีก็แค่หน้าท้องที่แบนราบ แต่ทนมือทน...... นั่นคือ โดนตุ๊ยกี่ทีๆ ก็ยังรู้สึกเฉยๆ (อาจจะพอมองเห็นเป็นลอนๆ บ้างในตอนที่มันออกแรง อย่างเช่น โน้มหรืองอตัวไปข้างหน้า แต่ก็มีเพียงแค่ตอนนั้นเท่านั้น) ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้ เป็นผลจากการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์การกีฬาทั้งนั้นแหละครับ


10. แต่สำหรับจำนวนเซต แค่ท่าละ 1-3 เซต มันก็มากพอแล้วท่าเราเน้นถูกจังหวะ ไม่จำเป็นต้องเล่นถึง 4 – 6 เซต มันจะทำให้ฝืนและใช้กล้ามเนื้อส่วนอื่นมาออกแรงแทน


11. ที่สำคัญ คุณต้องทิ้งช่วงห่างประมาณ 48 ชั่วโมง ก่อนที่จะเล่นคราวต่อไป เพื่อให้กล้ามท้องของคุณได้มีเวลาสำหรับฟื้นตัว คือทั้งซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไป แล้วก็เจริญเติบโตขึ้นมาใหม่ แต่ถ้าคุณเล่นติดกันทุกวัน กล้ามมันก็จะขึ้นช้า หรือเผลอๆ อาจจะไม่ขึ้นเลยก็ได้ ข้อนี้ต้องระวังนะครับ......





แหล่งที่มา
http://www.thailandsusu.com/webboard/index.php?topic=78591.0

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

ไปเที่ยวกันมั้ย.... เดี๋ยวพี่พาไปกินตับๆๆ



กระทู้นี้ขอตามกระแสนิดนึง ก็เพลงยอดฮิต ร้องกันจนติดปาก "ไปเที่ยวกันไหมมมมม จะไปก็รีบไปปปปป ไปกับพี่แล้วสบายยยย เดี่ยวพาไปกินตับๆๆๆๆๆๆๆๆ"
ในเพลงเค้าบอกว่า กินตับได้ประโยชน์มากมาย ก็จริงอย่างที่เค้าว่านั่นแหละแต่รู้รึป่าวว่านอกจากคุณอนันต์แล้วยังมีโทษมหันต์แฝงอยู่ด้วย มาดูกันให้ละเอียดดีกว่า ว่ากินยังไงถึงจะได้ประโยชน์แล้วกินยังไงให้โทษ


ตับไก่ นับเป็นอาหารที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายสูง ทั้งวิตามิน
แร่ธาตุต่างๆ ที่มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย
เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก โซเดียม และโปแตสเซียม
ที่สำคัญยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก เพราะว่า
มีคุณประโยชน์มากมาย
***อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าบรรดาเครื่องในสัตว์ทั้งหลาย
เป็นแหล่งสะสมของสารพิษต่างๆ โดยเฉพาะในตับ
***แคดเมียม นับเป็นโลหะหนักอีกตัวที่มีพิษต่อร่างกายมนุษย์
มักพบสะสมอยู่ในตับและไตสัตว์ เช่น หมู ไก่
***ปกติแคดเมียม จะพบได้ในสีย้อมผ้า
กระดาษ หมึกพิมพ์ สีที่ใช้ทำภาชนะเคลือบ และพบได้ในสิ่งแวดล้อมต่างๆ ***ฉะนั้น การปนเปื้อนของ แคดเมียม
ในอาหารอาจเกิดจากการใช้สีย้อมผ้าใส่ในอาหาร
หรือปนเปื้อนจากสีที่เคลือบภาชนะบรรจุ หรือจากสิ่งแวดล้อม
*** หากสัตว์ เช่น หมู ไก่ โค กินอาหาร และน้ำที่มีสาร
แคดเมียมปนเปื้อนก็อาจทำให้เนื้อ และเครื่องในที่ได้จากสัตว์เหล่านี้มีสาร
แคดเมียม ปนเปื้อนไปด้วย

พิษของแคดเมียม
-จะส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง
-เป็นตะคริวที่ท้อง ท้องร่วงอย่างแรง
-ที่สำคัญหากสะสมในร่างกาย เช่น ในไต ก็จะเป็นพิษกับไต เป็นสาเหตุของโรค อิไต อิไต
-รบกวนระบบการหมุนเวียนและดูดซึม วิตามินดี แคลเซียม
และคอลลาเจน ในร่างกาย
ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน โรคกระดูกน่วม ทำให้กระดูกผุและกร่อน

(((เมื่อตับไก่มีทั้งประโยชน์ และเป็นแหล่งสะสมของสารพิษ
สถาบันอาหารจึงสุ่มตัวอย่างตับไก่สดจาก 5 ย่านการค้า
เพื่อนำมาวิเคราะห์หาการปนเปื้อนของแคดเมียม
ผลปรากฏว่า ทุกตัวอย่างมีแคดเมียมปนเปื้อน
แต่ปริมาณที่พบไม่เกินมาตรฐานของ
Codex หรือมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ
ที่กำหนดไว้ว่าในตับไก่จะต้องมีแคดเมียมปนเปื้อนได้ ไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม 



แหล่งข้อมูล
http://board.postjung.com/540751.html

10 อาหารที่่ไม่ควรกินบ่อย


           1. ไข่เยี่ยวม้า ไข่เยี่ยวม้ามีตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลง กินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบางและอาจได้รับพิษตะกั่วเช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ


           2. ปาท่องโก๋ กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปนเปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารนี้ออกไปนอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย
                                                        
          3. เนื้อย่าง กระบวนการรมไฟ ย่างไฟทำให้เกิดสารเบนโซไพรีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

          4. ผักดอง ผักดองและของหมักเกลือทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกินหรือมากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนักเกิดความดันเลือดสูงและโรคหัวใจได้ง่าย นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิดสารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

           5. ตับหมู ตับหมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกินหรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เส้นเลือดสมอง (อัมพฤกษ์อัมพาต) และโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้น

          6. ผักขม ปวยเล้ง ผักขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า...มีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสี และแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกินหรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียมหรือสังกะสีได้

           7. บะหมี่สำเร็จรูป บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกัดบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ การกินบะหมี่สำเร็จรูปมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหารและการสะสมสารพิษได้

           8. เมล็ดทานตะวัน เมล็ดทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงทว่า... การกินมากเกินหรือบ่อยเกินอาจทำให้กระบวนการเคมี (metabolism) ในร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับภาวะไขมันในตับสูงอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคตับ เช่น ตับแข็ง ฯลฯเพิ่มขึ้น

          9. เต้าหู้หมัก เต้าหู้ยี้ กระบวนการหมักเต้าหู้อาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่าย... ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อคนสูงอายุ หรือเด็กเล็กได้ นอกจากนี้กระบวนการผลิตยังทำให้เกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่าง กาย

          10. ผงชูรส คนเราไม่ควรกินผงชูรสเกินวันละ 6 กรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา... การกินผงชูรสมากเกิน หรือบ่อยเกิน ทำให้เกิดภาวะกรดกลูตามิกในเลือดสูงอาจทำให้ปวดหัว ใจสั่น คลื่นไส้และมีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์

แหล่งที่มา

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

สุนัขที่แพงที่สุดในโลก




ถึงใครจะ บอกว่าเงินซื้อความรักและความสุขไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆ เงินก็ซื้อเพื่อนที่แพงที่สุดได้ และเพื่อนที่ว่านั่นก็คือ "สุนัข" เพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์นี่เอง
     เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อ เศรษฐีเหมืองถ่านหินรายหนึ่งทางภาคเหนือของประเทศจีนได้ซื้อเจ้าสุนัขชื่อ Big Splash หรือชื่อภาษาจีนว่า ฮง ตง (Hong Dong) ไปในราคาย่อมเยา แบบขนหน้าแข้งไม่ร่วงแค่ สิบล้านหยวน หรือประมาณ 45,900,000 บาท แค่นั้น!
     เจ้า Big Splash เป็น สุนัขพันธุ์ทิเบทัน แมสทิฟตัวสีแดง (Red Tibetan Mastiff) และดูไปดูมาก็เหมาะที่จะมาอยู่กับเจ้าของมหาเศรษฐีรายนี้จริงๆ เพราะเพียงแค่น้ำหนักของเเจ้า Big Splash อย่างเดียวก็ปาไป 82 กิโลกรัมแล้ว แถมยังกินจุใช่ย่อแต่ละวันมันกินทั้งไก่ ทั้งเนื้อ ยิ่งไปกว่านี้เจ้าของยังจะต้องปรนเปรอด้วยอาหารเหลาชั้นดีทั้งหลาย ซึ่งรวมไปถึงหอยชั้นเลิศต่างๆและหอยเปาฮื้ออีกด้วย
     นอกจากอาหารชั้นเลิศแล้ว น้อง Big Splash ยัง ต้องการบ้านของตัวเองหลังใหญ่อีกหนึ่งหลังเพราะขนาดของมันใหญ่มาก และน้ำหนักก็จะสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกจนถึงประมาณ 129 กิโลกรัมตามขนาดของอายุ

     ผู้เพาะพันธุ์เจ้าสุนัขตัวนี้บอกว่า Big Splash เป็นตัวอย่างของสุนัขพันธุ์ทิเบทัน แมสทิฟอย่างดี และค่าตัวมหาศาลของมะหมาวัย 11 เดือนตัวนี้ จริงๆ แล้วก็ถือว่าเหมาะสมแบบสุดๆ เพราะกว่าจะเลี้ยงมันมาจนขายได้ขนาดนี้ก็จ่ายเงินเดือนลูกน้องไปหลายอยู่ แถมผู้เพาะพันธุ์สุนัขรายนี้ยังแนะอีกด้วยว่าหากเจ้าของสุนัขตัวเมียตัว ไหนอยากให้ Big Splash ไปผสมพันธุ์กับสุนัขของตน ให้เจ้าของปัจจุบันของ Big Splash คิดเงินเจ้าของสุนัขตัวเมียได้เลยเต็มที่ถึงครั้งละประมาณ 10,000 ปอนด์ หรือประมาณ 486,000 บาท
     การ ที่สุนัขตัวหนึ่งมีราคาแพงหูฉี่ถึงขนาดนี้ถือเป็นสัญญาณบ่งบอกอย่างหนึ่ง ว่าสุนัขพันธุ์ทิเบทัน แมสทิฟตัวสีแดงได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกสถานะของพวกรวยมหาศาลในประเทศ จีนไปแล้ว แทนที่การซื้อจิวเวลรี่ และรถยนต์ ซึ่งดูจะธรรมดาเกินไป

     ยิ่ง ไปกว่านั้นสีแดงยังเป็นสีที่นำโชคสำหรับคนจีน และสุนัขพันธุ์ทิเบทัน แมสทิฟยังถือว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่จะคอยช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บและ นำความปลอดภัยและความมั่นคงมาให้เจ้าของ

     ชาว ทิเบตมีความเชื่อว่าเจ้าสุนัขพันธุ์นี้มีจิตวิญญาณของพระและชี ผู้ซึ่งจริงๆ แล้วขณะที่มีชีวิตอยู่ไม่สามารถปฏิบัติตนได้ดีเพียงพอที่จะไปเกิดเป็นมนุษย์ อีกครั้ง
     ในสมัยอดีต บุคคลประวัติศาสตร์ที่เคยมีสุนัขพันธุ์นี้เป็นเจ้าของ ได้แก่ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร และ เจง กีส ข่าน
     ใน ปัจจุบัน ที่ประเทศอังกฤษมีสุนัขพันธุ์นี้อยู่ประมาณ 300 ตัว โดยที่ลูกสุนัขแต่ละตัวราคาประมาณ 850-1,000 ปอนด์ (41,000-48,000 บาท)
     ผู้ เพาะพันธุ์สุนัขทิเบทัน แมสทิฟชาวอังกฤษผู้หนึ่งเล่าว่าสุนัขพันธุ์นี้คิดเองได้และสามารถมีปราสาท รับรู้อันตรายได้อย่างมีไหวพริบ อีกทั้งพวกมันยังคอยดูแลฝูงสัตว์ และยังรักเด็กอีกด้วย
     เมื่อปีที่แล้ว สุนัขพันธุ์ทิเบทัน แมสทิฟก็เป็นสุนัขที่แพงที่สุดในโลก โดยที่ขายไปในราคา 915,000 ปอนด์ หรือประมาณ 44 ล้านบาท...เท่านั้น
    

แหล่งที่มา
http://board.postjung.com/540362.html
ภาพ:www.sanook.com

10 สุดยอดสัตว์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุด

เริ่มกันที่อันดับ 10 Puffer Fish - ปลาปักเป้า 


ปลา ปักเปา คือสัตว์มีพิษ ที่มีคนนิยมบริโภคมาก โดยเฉพาะในแถบประเทศญี่ปุ่น (ปลาปักเปาภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ฟูกุ) และเกาหลี (ในส่วนของภาษาเกาหลีจะเรียกว่า บ๊อค ฮัง) โดนเนื้อปลาปักเป้านั้น จริงๆแล้ว ไม่ได้มีพิษ แต่ส่วนที่มีพิษก็คือพวก ผิวหนังและเครื่องในของปลาปักเป้านั่นเอา แต่พิษเหล่านี้มักจะซึมเข้าไปในเนื้อตอนแล่ พ่อครัวที่จะแล่ปลาปักเป้า ต้องมีใบอนุญาติกันเลย ถ้าหากกินพิษของปลาปักเป้าไป อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ในทันที 



อันดับที่ 9 Poison Dart Frog - กบลูกดอก

 

กบ ลูกดอกสีน้ำเงินนั้นเป็นสัตว์ที่อยู่ในป่าฝนในทวีป อเมริกากลาง และ ใต้ เป็นกบที่มีสีสันสวยงามแต่พิษของมันร้ายแรงมาก พิษของกบลูกดอก 1 ตัว สามารถคนได้ถึง 10 คนและหนูถึง 20000 ตัว พิษของมันเพียง 5 ไมโครกรัม (เท่ากับปลายเข็ม) ก็สามารถฆ่าคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ๆได้
พิษของมันถูกนำมาใช้ในลูกดอกอาบยาพิษของอินเดียแดง มันจึงถูกเรียกว่ากบลูกดอก

อันดับที่ 8 Inland Taipan - งูไทปันโพ้นทะเล


งู ไทปันถูกพบได้มากในทวีปออสเตรเลีย เป็งูที่มีพิษร้ายแรงมาก พิษที่มันปล่อยออกมาจากการกัดหนึ่งครั้ง สามารถฆ่าคนได้ถึง 100 คน หรือหนู 250000 ตัว พิษของมันสามารถฆ่าคนได้ภาพใน 45 นาที แต่อย่างไรก็ตาม งูไทปันเป็นงูที่ค่อนข้างขี้อาย ไม่เคยมีการบันทึกว่ามีคนตายจากพิษของมัน

อันดับที่ 7 The Brazilian wandering spider -แมงมุมบราซิล


แมงมุม บราซิลหรือแมงมุม กล้วย ได้รับการบันดึกลงในกินเนสเวิลด์เรคคอรด์ว่าเป็นแม่งมุมที่มีพิษร้ายแรงที่ สุดในโลก พิษของมันมีพิษทำลายประสาท พวกมันจะอันตรายอย่างมาก เพราะโดยนิสัยของมันแล้วมันชอบแอบอยู่ตามรองเท้า ตู้เสื้อผ้า แม้กระทั่งในรถยนต์ พิษของมันถ้าโดนกัดนอกจากจะทำให้เจ็บปวดอย่างมากแล้ว มันจะทำให้อวัยวะเพศของเราควบคุมไม่ได้ และ ถ้ารอดตายจากการโดนมันกัด มันก็จะทำให้เราเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ<< อย่างงี้ยอมโดนกัดให้ตายดีกว่ามั้ย?



ต่อกันที่อันดับ 6 Stonefish - ปลาหิน


ถ้า แข่งกันในเรื่องของ ความสวยงามแล้ว ปลาหิน ท่าทางจะแพ้อย่างขาดลอย แต่ถ้าแข่งกันเรื่องความรุนแรงของพิษแล้วละก็ เจ้าปลาหินไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอน มันได้ชื่อว่าเป็นปลาที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก พิษของปลาหินนี้จะอยู่ในหนามของตัวมันเอง มีคนบอกว่า ถ้าคุณโดนมันแทงเข้าละก้อ คุณจะได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเท่าที่มนุษย์จะเจ็บได้เลยทีเดียว นอกจากจะเจ็บสุดๆแล้ว มันจะทำให้คุณเป็นอัมพาต แล้วก็ตายได้ในที่สุด


มาต่อกันที่ 5 อันดับสุดท้าย ใครจะได้ครองแชมป์ สัตว์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก
ต้องชมกันต่อไป

อันดับที่ 5 ได้แก่ Death Stalker Scorpion - แมงป่องพันธุ์ เดธท์ สตอลเกอร์


แมง ป่องโดยทั่วไปนั้น ถึงแม้ว่าจะโดนกัด พิษของมันก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรมนุษย์ได้มากนัก อาจจะเจ็บปวดนิดหน่อย แต่.....มันไม่ใช่สำหรับแมงป่อง พันธุ์ เดธท์ สตอลเกอร์ เลย เพราะพิษของมันสามารถทำลายระบบ ประสาทได้ ถ้าคุณโดนมันกัด คุณจะปวดอย่างมหาศาล จากนั้นจะตามมาด้วยอาการไข้ขึ้น เป็นอัมพาต และตายในที่สุด แต่ถึงแม้พิษมันจะร้ายแรงมาก แต่มันก็ไม่สามารถฆ่ามนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่ได้ แต่ว่า มันจะเป็นอันตรายต่อ เด็ก ทารก คนแก่ อย่างมาก ถึงแม้ว่ามันไม่สามารถที่จะฆ่าผู้ใหญ่ได้ แต่มันก็ทำให้เป็นอัมพาตได้นะ =.=

อันดับที่ 4 Blue-Ringed Octopus - ปลาหมึกแหวนน้ำเงิน 


ปลา หมึกแหวนน้ำเงินนั้นมีขนาดที่เล็กมาก ขนาดประมาณลูกกอลฟ์เท่านั้นเอง แต่ขนาดไม่ใช่ปัญหาสำหรับความรุนแรงของพิษมันเลย เพราะพิษมันสามารถฆ่าคนได้ภายในไม่กี่นาที และที่สำคัญ มันยังไม่มียาแก้พิษ =.= ถ้าโดน ปลาหมึกแหวนน้ำเงินกัดละก็ คุณจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรมากหรอก แต่ว่า พิษมันจะเริ่มทำลายระบบประสาทของคุณ หลังจากนั้นคุณจะรู้สึกอ่อนแอ และคุณก็จะเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ระบบหายใจการจะเริ่มล้มเหลว หลังจากนั้น ก็ตายในที่สุด >> น่ากลัวไหมล่ะครับ เล็กพริกขี้หนูจริงๆ

เข้าสู่ 3 อันดับสุดท้ายกันแล้วววว

อันดับที่ 3 Marbled Cone Snail - หอยเต้าปูนลายหินอ่อน


หอย เต้าปูน ตัวเล็กๆ สีสันสวยงาม แต่!!! พิษของมันนะหรอ เพียงแค่หยดเดียว สามารถฆ่าคนได้ถึง 20 คน ถ้าคุณเล่นน้ำที่ทะเลที่มันค่อนข้างอุ่นๆ แล้วเห็นเจ้าตัวนี้อยู่ อย่าคิดที่จะหยิบมันมาเล่นเลยนะครับ แค่ดูมันอยู่ห่างๆก็พอแล้ว เพราะถ้าคุณโดนพิษมันเล่นงานละก็ คุณจะปวด หลังจากนั้นก็จะเริ่มบวม ระบบกาหายใจเริ่มล้มเหลว ร่างกายจะคันหยุกหยิก เป็นอัมพาต แล้วก็ตายในที่สุด แต่ยังไงก็ตาม มีรายงานว่ามีแค่ 30 คนเท่านั้นที่ตายเพราะหอยเต้าปูน


อันดับที่ 2 King Cobra - งูจงอาง 


งู จงอางหรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ophiophagus hannah เป็นงูพิษที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก ด้วยขนาดโตสุดที่ 5.6 เมตร งูจงอางนั้น เรารู้กันว่าอาหารโปรดของมันก็คือ งู !!! นั่นหมายความว่ามันกินสัตว์ตระกูลเดียวกัน และเพียงแค่โดนมันกัดเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้คนตายได้อย่างง่ายๆ และพิษของมันนั้น สามารถฆ่าช้างที่โตเต็มวัยได้เพียงแค่ 3 ชั่วโมง ในส่วนของมันนั้น ส่วนประกอบของมันแตกต่างกับพิษงูโดยทั่วไป ที่สำคัญ มันพบได้ทั่วไป ในทวีปเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และในประเทศไทย

ในที่สุดก็มาถึงอันดับที่ 1 กันเลยยยย
และ สัตว์ที่ครองแชมป์ สัตว์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก ได้แก่...

อันดับ 1 ได้แก่ Box Jellyfish - แมงกระพรุนกล่อง



และ แล้วแมงกระพรุนกล่องก็ได้เป็นแชมป์สัตว์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก รายงายว่ามันฆ่าคนไปแล้ว 5,567 คน พิษของมันนั้นจะไปทำลาย หัวใจ ระบบประสาท ผิวหนัง และที่สำคัญ ถ้าโดนพิษมันจะเจ็บปวดอย่างที่สุด ส่วนใหญ่คนที่โดนพิษมันนั้น มันที่จะ ช๊อค และหัวใจล้มเหลว ก่อนที่จะกลับเข้าถึงฝั่ง แต่ถ้าคุณโดนพิษมันก็ยังมีโอกาสที่จะรอดอยู่นั่นคือ ต้องรีบเอาน้ำส้มสายชู มาล้างอย่างน้อย 30 วินาที เพราะมันจะทำลายพิษของแมงกระพรุนกล่องก่อนที่มันจะเข้าไปสู่กระแสเลือด 


แหล่งที่มา
http://board.postjung.com/540367.html

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

วิธีเก็บเงินสดไว้จ่ายอย่างไรบอกอุปนิสัยใจคอคนเราได้เช่นกัน


เก็บเงิน
:: ซ่อนเร้น ถ้าคุณซ่อนเงินไว้ในเข็มขัด ในซอกลับของกระเป๋าเงิน หรือกระเป๋าถือแสดงว่าคุณเป็นคนระมัดระวังมาก พิถีพิถันพิจารณาตัดสินใจอะไรรอบคอบ ควบคุมตัวเองได้อย่างมีระเบียบวินัย เวลานัดกับใครไม่เคยล่าช้า หรือผิดเวลา

:: แยกกันเป็นระเบียบ ถ้าคุณจัดธนบัตรแยกตามค่าเงินเป็นระเบียบเรียบร้อยใส่กระเป๋าสตางค์ และแยกเหรียญไว้อีกทางหนึ่งเพื่อใช้จ่ายย่อย คุณเป็นคนที่มีเหตุ มีผลรู้จักความพอดี ไม่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาเท่าไหร่ ใช้จ่ายอย่างรู้คุณค่าเงินทอง

:: มัดเป็นปึก คุณชอบพกเงินสดมัดเป็นปึกใหญ่แล้วดึงออกมาใช้ทีละใบ แสดงว่าคุณเป็นคนที่มีจิตใจไม่เคยทุกข์ร้อนอะไร รักชีวิต และมีอารมณ์ขันมาก มีความกระตือรือร้นอย่างสูง และชอบผจญภัยใหม่ๆแปลกๆ โดยไม่หวั่นกลัวแต่อย่างไร

:: ใช้คลิปเหน็บ ถ้าคุณใช้คลิปเปอร์หรือที่เหน็บธนบัตรไว้ เวลาใช้จ่ายก็ดึงออกมา บ่งบอกว่าคุณเป็นคนรักครอบครัวมาก ไม่ชอบการเปลี่ยน หรือเปลี่ยนแปลงอะไรช้าๆ ชอบวิถีชีวิตเก่าตามขนบธรรมเนียมประเพณี

:: ทิ้งเกลื่อนกลาด หากคุณเก็บเงินสดธนบัตรไว้ไม่เป็นที่เป็นทาง ขึ้นอยู่กับเอาไว้หยิบฉวยจ่ายสะดวกเมื่อไร เช่นใส่ในกระเป๋าเงินหลายใบ ทิ้งไว้บนโต๊ะ บนเคาน์เตอร์ เป็นต้น สะท้อนบุคลิกของคุณออกมาว่าไม่ยึดถืออะไรเป็นกฎเกณฑ์ ชอบชีวิตง่ายๆ ไม่ค่อยอีนังขังขอบกับการใช้จ่ายเงิน บางทีทิ้งเงินไว้อย่างนี้ จนลืมไป เมื่อจะใช้จ่ายถึงนึกขึ้นได้ จึงทำให้ต้องค้นหา จึงทำให้คุณเป็นคนเสาะแสวงหาอะไรได้รวดเร็ว และทำอะไรง่ายๆ ไม่จริงจังซีเรียสนัก

:: ชอบใส่เหรียญดังกุ๊งกิ๊ง ถ้าหากคุณชอบพกเหรียญมากๆไว้ในกระเป๋า แสดงว่าคุณเป็นคนมานะพยายาม อดทนด้วยพลังงานสูง มักจะมีโครงการทำอะไรมากมาย ชอบชีวิตสนุกสนานหัวเราะรวนเป็นประจำ ไม่เคยมีจิตใจอิจฉาริษยาใคร และจิตใจบริสุทธิ์เหมือนกับเด็กๆ

:: ชอบโชว์ ถ้าคุณชอบพกเงินสด มัดธนบัตรเป็นใหญ่ แต่ชอบควักมาโชว์ให้คนเห็นเป็นประจำ แล้วมักเอาแบงก์ราคามากไว้บน บ่งบอกว่าคุณเป็นคนเปิดเผย ชอบแสดงความรู้สึก และไม่สนใจว่าจะเป็นจุดเด่นในสายตาคน มีทรรศนะทางการเมืองที่รุนแร

แหล่งที่มา

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2554

นิสสัน ชวนร่วมบริจาคเงินให้ผู้ประสบภัยสึนามิ ที่ญี่ปุ่น


บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
ขอเชิญชาวไทย ร่วมบริจาคเงินให้ผู้ประสบภัยสึนามิ ที่ประเทศญี่ปุ่น
ในโครงการ “น้ำใจไทย ส่งไปญี่ปุ่น”
เพียงเข้ามาคลิก Like หน้า Page ของ Nissan Thailand Facebook (www.facebook.com/nissanthailand)
ทุกๆ 1 Like นิสสันจะบริจาคเงิน 15 เยน ให้กับชาวญี่ปุ่นที่ประสบภัยสึนามิ
ร่วมกด Like และช่วยกันแชร์ไปยังเพื่อนๆ กันเยอะๆ นะครับ


แหล่งที่มา
http://board.postjung.com/539058.html

ย้อนความทรงจำ10เหตุการณ์อื้อฉาวสุดๆในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก

"อาเนลก้า"ด่าโค้ชโดนตะเพิดพ้นแคมป์นักเตะฝรั่งเศส


ฟุตบอลโลก ค.ศ.2010 ล่าสุดสดๆร้อนๆของความฉาว นิโกล่าส์ อเนลก้า กองหน้าฝรั่งเศสน็อตหลุดด่าเรย์มองด์ โดเเน็ค ผู้เป็นกุนซือ สมาคมฟุตบอลฝรั่งเศสให้ขอโทษก็ไม่ยอมเลยต้องใช้ไม้ตายตะเพิดออกจากทีม

"ซีดาน"ใช้หัวโล้นโขก"มาเตรัซซี่"


ฟุตบอลโลก ค.ศ.2006 รอบชิงชนะเลิศ ซีเนดีน ซีดาน กองกลางฝรั่งเศสให้หัวโขกหน้าอกมาร์โค มาเตรัซซี่ ปราการหลังอิตาลีหลังจากปราการหลังอิตาลีกล่าวยั่วยุด้วยการดูถูกครอบครัว เขา เป็นฉากสุดท้ายของซีดานในการเตะอาชีพ ซีดานโดนไล่ออกและหลังจากนั้นประกาศอำลาการเล่นฟุตบอล

"เอฟเฟนแบร์ก"แจกกล้วยแฟนบอลตัวเอง


ฟุตบอลโลก ค.ศ.1994 สเตฟาน เอฟเฟนแบร์ก กองกลางเยอรมันถูกแฟนบอลชาติเดียวกันโห่ฮาหลังถูกเปลี่ยนตัวออกในนัดเจอกับ เกาหลีใต้ คนอย่างเอฟเฟนแบร์กไม่ยอมใครอยู่แล้วให้นิ้วกลางสวนทันที

เอฟเฟนแบร์ก กล่าวภายหลัง มีปฏิกริยาเกินเลยไปหน่อย แต่ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป แต่เมื่อมองย้อนกลับไปต้องขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น

"ไรจ์การ์ด"ถ่มน้ำลายใส่"โฟลเลอร์"


ฟุตบอลโลก ค.ศ.1990 ที่อิตาลี รอบ 16 ทีม หลังจากแฟร้งก์ ไรจ์การ์ด กองกลางฮอลแลนด์ทำฟาวล์รูดี้ โฟลเลอร์ กองหน้าเยอรมันและได้รับใบเหลือง ไรจ์การ์ดเดินไปถ่มน้ำลายใส่โฟลเลอร์จนมีปากเสียงกันทำให้กรรมการแจกใบเหลือ งโฟลเลอร์

 จากนั้นทั้งสองก็ปะทะกันอีกในจังหวะเข้า ชาร์จพังประตูของโพลเลอร์ ผู้ตัดสินไล่ออกทั้งสองคนและขณะกำลังเดินออกจากสนามไรจ์การ์ดก็โชว์ความถ่อย อีกครั้งด้วยการถ่มน้ำลายโฟลเลอร์ซ้ำสอง

ฮอลแลนด์เสียหายหนักกว่าจากการสูญเสียไรจ์การ์ดตกเป็นฝ่ายปราชัย 1-2 ขณะที่เยอรมันผ่านเข้าไปคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 อย่างยิ่งใหญ่

"มาราโดน่า"ใช้มือปัดบอลเข้าประตูอังกฤษ


ฟุตบอลโลก ค.ศ.1986 ดีเอโก้ มาราโดน่า ทำให้แฟนบอลจดจำเขาไปทั่วโลกทั้งความเก่งกาจและเจ้าเล่ห์หลังจากใช้มือปัด บอลผ่านปีเตอร์ ชิลตัน นายทวารอังกฤษเข้าไปตุงตาข่ายและตบตากรรมการได้อย่างเนียบแนนนำทีมผ่านเข้า รอบรองชนะเลิศและก้าวไปคว้าแชมป์โลก สมัยที่ 2 ด้วยชัยชนะเหนือเยอรมัน ในรอบชิงฯ 3-2

ตำนานนักเตะโลกอาร์เจนไตน์ กล่าวว่า มันแฮนด์ ออฟ ก๊อด หรือหัตถ์ของพระเจ้า

"ชูมัคเกอร์"ทำฟาวล์"บาติสตอง"ฟันหัก-กระสันหลังแตกร้าว


ฟุตบอลโลก ค.ส.1982 โทนี่ ชูมัคเกอร์ นายทวารเยอรมันวิ่งออกมาป้องกันประตูปะทะกับแพทริค บาติสตอง ดาวเตะฝรั่งเศสอย่างไม่ยั้ง ในรอบรองชนะเลิศ บาติสตอง ฟันหัก 2 ซี่และกระดูกสันหลังแตกร้าว แต่ไม่น่าเชื่อชูมัคเกอร์ไม่ได้รับแม้กระทั่งใบเหลือง มิหน้ำซ้ำที่ช้ำกว่านั้นเยอรมันเป็นฝ่ายชนะผ่านเข้ารองชิงชนะเลิศ

เยอรมันฮั้วออสเตรียเขี่ยแอลจีเรียตกรอบ


ฟุตบอลโลก ค.ศ.1982 ปน ประตูชัยของฮอร์สท์ ฮรูเบช ทำให้เยอรมันชนะออสเตรีย ทีมเพื่อนบ้าน 1-0 เพียงพอที่จะทำให้ทั้งสองผ่านเข้ารอบต่อไปทั้งคู่ แต่ทำให้แอลจีเรียตกรอบ โดยหลังจากประตูดังกล่าวทั้งเยอรมันและออสเตรียทำน่าเกลียดด้วยการเล่นส่ง บอลไปมาไม่คิดทำประตูเป็นที่มาของข้อกล่าวหาว่าฮั้วบอลโลก

"เฮิร์สท์"ยิงประตูเจ้าปัญหานำอังกฤษคว้าแชมป์โลก


ฟุตบอลโลก ค.ศ.1966 รอบชิงชนะเลิศ เจฟฟ์ เฮิร์สท์ ตะบันบอลชนคานกระดอนลงพื้น ไม่รู้ว่าผ่านเส้นประตูหรือไม่ แต่ผู้ตัดสินให้เป็นประตูให้อังกฤษนำเยอรมัน 3-2 ก่อนที่เฮิร์สท์จะยิงอีกลูกย้ำชัยให้อังกฤษชนะ 4-2 ในการเล่น 120 นาที คว้าแชมป์โลกสมัยแรกและสมัยเดียวจนถึงปัจจุบัน

"มาราโดน่า"ถูกตรวจพบใช้สารต้องห้ามโดนแบน15เดือน


ฟุตบอลโลก ค.ศ.1994 ดีเอโก้ มาราโดน่า ถูกนำตัวออกจากสนามไปตรวจสารต้องห้ามผลการตรวจเป็นบวกมาราโดน่าโดนลงโทษห้ามเล่น 15 เดือน

ดาวเตะเยอรมันถูกโค้ชส่งกลับบ้านเพราะกินส้มแทนที่จะกินนม
 

ฟุตบอลโลก 1934 ออตโต แนร์ซ กุนซือเยอรมันส่งตัวซิกมันด์ ฮาริงเกอร์ กองหลังของทีมกลับบ้านก่อนนัดชิงที่สามกับออสเตรียหลังจาก
ขัดคำสั่งไปกิน กล้วยเพราะผู้เล่นได้รับอนุญาตให้กินนมเท่านั้นในเวลาดังกล่าว


แหล่งที่มา
http://www.oknation.net/blog/bigeye2009/2010/06/23/entry-4

10 อันดับต้นๆอาหารไทยที่ชาวต่างชาติชอบกินมากที่สุด

เมนูยอดฮิตอันดับที่ 10 "แกงพะแนง"



เมนูยอดฮิตอันดับที่ 9  "ไก่ผัดเม็ดมะม่วง"

เมนูยอดฮิตอันดับที่ 8  "หมูสเต๊ะ"

เมนูยอดฮิตอันดับที่ 7  "ยำเนื้อย่าง" (ขอบอกอันนี้ชอบส่วนตัวครับ อิอิ)

เมนูยอดฮิตอันดับที่ 6  "แกงข่าไก่"

เมนูยอดฮิตอันดับที่ 5  "แกงผัดเผ็ดเป็ดย่าง"

เมนูยอดฮิตอันดับที่ 4  "ผัดกระเพรา"

เมนูยอดฮิตอันดับที่ 3  "ผัดไทย"

เมนูยอดฮิตอันดับที่ 2  "แกงเขียวหวาน"

เมนูยอดฮิตอันดับที่ 1  แน่นอนครับว่าต้องเป็น  "ต้มยำกุ้ง"  (ว่าแล้วว่าต้มยำกุ้งต้องได้ที่หนึ่ง  ช้างกูอยู่ไหน อิอิ)



แหล่งที่มา
http://board.postjung.com/538923.html

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554

ประโยชน์และความสำคัญของ Blog

Blog ในปัจจุบันถือว่าได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งอาจเป็นเพราะ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย (ส่วนใหญ่) ใช้งานง่าย ...โดยผู้เขียนไม่ต้องมีความรู้เรื่องการเขียนเว็บไซต์ด้วยโปรแกรมภาษา หรือโปรแกรมสำเร็จรูปใดๆ เลยก็ย่อมได้ สามารถปรับแต่ง แก้ไขได้ง่าย บนหน้าจอ ณ เวลานั้นเลย แต่หากจะมีความรู้เรื่องภาษา Html ก็จะยิ่งดีมากๆ เพื่อช่วยในการปรับแต่งในขั้นลึกยิ่งขึ้น...
ประโยชน์ของ Blog นั้นมีมากมาย กว้างขวางยิ่งกว่า ไดอารี่ หรือบันทึกส่วนตัวทั่วๆ ไป

ประโยชน์ของ Blog สามารถแยกเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
  1. เป็นสื่อที่ใช้ในการแสดงความคิดเห็น ความรู้สึกของผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เพื่อเสนอให้ผู้คน สาธารณะได้รับรู้
  2. เป็นเครื่องมือช่วยในด้ารธุรกิจ เช่น การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การเสนอข่าวสารความเคลื่อนไหวขององค์กร การเสนอตัวอย่างสินค้า การขายสินค้า และการทำการตลาดออนไลน์ เป็นต้น
  3. เป็นแหล่งความรู้ใหม่ๆ ที่ถูกต้องและชัดเจน จากผู้มีความรู้เฉพาะด้านๆ นั้น เนื่องจากผู้เขียน Blog มักจะเขียนถึงเรื่องที่ตัวเองถนัด ชอบ และมีความรู้ลึกในเรื่องนั้นๆ การค้นหาข้อมูลเฉพาะด้านใน Blog ต่างๆ จึงทำให้เราค้นพบความรู้ และผู้มีความรู้ความชำนาญในด้านต่าง ๆ ได้รวดเร็วขึ้น
  4. ทำให้ทันต่อเหตุการณ์ในโลกปัจจุบัน เพราะข่าวสารความรู้ มาจากผู้คนมากมาย(ทั่วโลก) และมักจะเปลี่ยนแปลงได้ทันกับเหตุการณ์ปัจจุบันเสมอ
  5. และอื่นๆ อีกมากมาย
แหล่งที่มา  http://2talkbig.blogspot.com/2007/06/blog_8254.html

Blog คืออะไร

Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำ ๆ
นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog)

ความหมายของคำว่า Blog
ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์
โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น
เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น
โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก
จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง
จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน
บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ
หรือครอบครัวตนเอง

มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog
เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว
ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น
เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภท
ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่
หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ
เนื้อหาบล็อกประเภท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ
ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยังสามารถ
แตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย
ตามแต่ความถนัดของเจ้าของบล็อก ซึ่งมักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด
หรือสนใจเป็นต้น


แหล่งที่มา
http://www.thaigoodview.com/node/55065