วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

คลีนิกแปลก รักษามะเร็งด้วยควันบุหรี่

คลีนิกแปลก รักษามะเร็งด้วยควันบุหรี่
 
คลีนิกในอินโดนีเซียใช้การพ่นควันบุหรี่เข้าไปในหูของผู้ป่วยเพื่อเป็นการรักษาโรคมะเร็ง
ผู้ ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งและมีอาการผิดปกติอย่างเรื้อรังของปอดซึ่งเกิดจากการ สูบบุหรี่เป็นระยะเวลายาวนานนั้น เป็นหนึ่งในผู้ป่วยของคลีนิกแห่งหนึ่งชื่อ Griya Balur ในประเทศอินโดนีเซีย ที่มีการรักษาที่แปลกประหลาดมาก นั่นคือการรักษามะเร็งด้วยควันบุหรี่

วิธีการรักษาแบบนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นวิธี "หนามยอกเอาหนามบ่ง" เลยก็ว่าได้ เพราะที่คลีนิกแห่งนี้ จะรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยการพ่นควันบุหรี่ใส่เข้าไปในรูหูตามความเชื่อ ของชาวอินโดนีเซีย ว่าการรักษาแบบนี้ ให้ผลดีกว่าการรักษามะเร็งแบบปัจจุบันเป็นไหนๆ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดหรือแม้กระทั่งการทำคีโมบำบัด

การรักษาแบบนี้ ชาวอินโดนีเซียเรียกว่า "Divine cigarettes" หรือ บุหรี่ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเทคโนโลยีแบบนาโนของส่วนประกอบในควันบุหรี่นั้น จะไปทำลายอนุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวที่ก่อให้เกิดเซลล์มะเร็ง โดยควันบุหรี่จะถูกพ่นผ่านท่อเข้าไปในรูหูและจมูกเข้าไปยังปอดของผู้ป่วย โดย Dr. Gretha Zahar ผู้ก่อตั้งคลีนิค Griya Balur แห่งนี้กล่าวว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการนี้มาแล้วกว่า 60,000 คน

Dr. Gretha Zahar จบปริญญาเอกในสาขานาโนเคมีจาก Padjadjaran University ประเทศอินโดนีเซีย เขาเชื่อว่าสารปรอทจากควันบุหรี่นั้นสามารถรักษาโรคได้หลากหลายรวมไปถึงโรค มะเร็ง และยังสามารถย้อนกระบวนการอายุทำให้เยาว์วัยได้อีกด้วย ถึงแม้ว่าสารปรอทจะเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ แต่ในบุหรี่ศักดิ์สิทธิ์ "Divine cigarettes" ของเขานั้น สารปรอทจะเป็นสารสกัดกั้นและทำลายอนุมูลอิสระและสารปรอทตัวไม่ดีในร่างกาย

การ รักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีหนามยอกเอาหนามบ่งแบบนี้ จะเป็นวิธีที่ดีหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่แต่ละความเชื่อและวิจารณญาณของแต่ละบุคคล แต่ทางที่ดีแล้วไม่ควรสูบบุหรี่จะทำให้เกิดโรคมะเร็งเลยจะดีกว่า 







แหล่งข้อมูล
http://board.postjung.com/546608.html

สนามกอล์ฟแบบนี้ก็มีด้วย!!!


 
สนามกอล์ฟบนรถ
สนามกอล์ฟบนรถของ John McArthur ที่มีทั้งธงบนหลังคาและหลุมทราย
สนามกอล์ฟในคุก
สนามกอล์ฟ 9 หลุมที่สร้างและคงอยู่โดยนักโทษที่ไม่ได้รับอนุญาติให้เล่น สนามแห่งนี้อยู่ที่ Louisiana สหรัฐอเมริกา
สนามกอล์ฟเปลือย
ในรีสอร์ททางฝั่งตะวันตกของประเทศฝรั่งเศส เป็นสนามที่ไม่ใหญ่ (6 หลุม) สนามกอล์ฟทำหรับผู้ที่รักความเป็นธรรมชาติ

สนามกอล์ฟที่มีหลุมที่ 19 ที่โหดที่สุด
ในแอฟริกาใต้ แน่นอนว่าเป็นสนามกอล์ฟที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง แต่ลองดูหลุมที่ 19 ซึ่งมีอยู่ห่างจากกรีนเกือบครึ่งกิโลเมตร

สนามกอล์ฟที่อยู่บนพื้นที่ของสองประเทศ
บนกรีนของสนามกอล์ฟที่อยู่บนพื้นที่สองประเทศ 9 หลุมอยู่ในประเทศฟินแลนด์ และอีก 9 หลุมอยู่ในประเทศสวีเดน
สนามกอล์ฟที่มีกรีนสูงที่สุด
สร้างโดยคนอังกฤษในอินเดีย ออกแบบโดย Peter Thomson ที่ความสูง 3,730 เมตร ถือเป็นสนามกอล์ฟที่สูงที่สุดและมีวิวของกรีนที่สวยที่สุดในโลก
 
สนามกอล์ฟที่อันตรายที่สุด
สนามกอล์ฟของกองทัพสหรัฐที่อยู่ในเขตสงครามระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ สนามกอล์ฟแห่งเดียวที่ต้องให้ผู้เล่นติดอาวุธ และมีแคดดี้ที่ได้รับการฝึกฝนให้เป็นมือปืนด้วย
สนามกอล์ฟในห้องน้ำของคุณ
เกมกอล์ฟ Potty Putter เป็นอุปกรณ์ที่คุณสามารถฝึกการพัตขณะที่อยู่ในห้องน้ำ
สนามกอล์ฟในสนามบิน
ในสนามบินดอนบินเมือง สนามบินขนาดกลางที่มีสนามกอล์ฟ 18 หลุมอยู่ระหว่างสองรันเวย์
สนามกอล์ฟบนเกาะ
ตั้งอยู่บนเกาะ  Mauritius ในมหาสมุทรอินเดีย สุดยอดความหรูหราและโรแมนติกที่สุดในโลก

แหล่งข้อมูล

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

หนุ่ม ๆ ระวังสเปิร์มเปลี่ยนสี

       สเปิร์มเปลี่ยนสี



       ความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของร่างกายของคนเรานั้นคือ เมื่อร่างกายของเรามีเชื้อโรคแอบแฝงอยู่ ก็เรามักจะมีอาการแปลก ๆ แสดงออกมาให้เห็น หรือลักษณะทางกายภาพบางอย่างจะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าตอนนี้ร่างกายของเรามีอะไรแปลก ๆ แล้วนะ 
    สำหรับผู้หญิงเรานั้นสามารถสังเกตความผิดปกติของร่างกายได้จาก ลักษณะของประจำเดือน ที่มาในแต่ละเดือนได้ เช่นมามากกว่าปกติ สีแปลก ๆ ไปจากเดิม หรือมานิดหน่อยแต่มาเกือบทั้งเดือนเป็นต้น

    สำหรับผู้ชายเองก็ สามารถสังเกตจากลักษณะของสเปิร์ม เช่นกัน อย่าง สเปิร์มที่มีสีเหลืองแสดงว่ากล้ามเนื้อหูรูดของท่อปัสสาวะอ่อนแอทำให้มีน้ำปัสสาวะเข้าไปผสมกับอสุจิได้ หรือ สเปิร์มที่มีสีน้ำตาล คุณต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบต่อมลูกหมากและถุงอสุจิว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า

    และสเปิร์มที่มีสีน้ำตาลแดงแสดงว่า มีเลือดในอสุจิ หากสเปิร์มของคุณเปลี่ยนสีบ่อย ๆ ต้องรีบไปพบแพทย์ เพราะนั่นอาจจะแสดงว่าคุณมีปัญหาจากความดันโลหิตสูงหรืออาจะเข้าข่ายเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้

    เห็นไหมค่ะว่าร่างกายของเราสามารส่งสัญญาณบ่งบอกความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายภายในได้ เพราะฉะนั้นเพื่อน ๆ ที่นี่ก็อย่าละเลยที่จะใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้นะคะ 
     เพราะว่าหากเกิดความผิดปกติจริง การที่เรารีบไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ ยังสามารถรักษาให้หายขาดได้ ดีกว่าไปทนทรมานในตอนท้าย ๆ เพราะรักษาไม่ได้แล้วนะคะ


แหล่งข้อมล
http://women.thaiza.com

5 ท่า ลด 500 กิโลแคลอรี

 โดยเฉลี่ยสาวออฟฟิศจะได้รับพลังงานวันละ 1,800-2,200 กิโลแคลอรี จากอาหารที่กินเข้าไป แต่ใช้พลังงานเพียงแค่ 700-2,000 กิโลแคลอรีเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะสะสมเป็นน้ำหนักส่วนเกินน่ากลุ้มใจ จึงต้องอาศัยการออกกำลังกายช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน
        หากต้องการลดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม เราจะต้องเผาผลาญพลังงานมากถึง 7,700 กิโลแคลอรี การออกกำลังกายต่างชนิดกันจะช่วยเผาผลาญพลังงานตั้งแต่ 150-1,200 กิโลแคลอรี่ต่อชั่วโมง หากรู้จักเลือกท่าออกกำลังกายก็จะช่วยให้เผาผลาญพลังงานได้มากในระยะเวลาอันสั้น


      โปรแกรมออกกำลังกาย 5 ท่าที่ใช้เวลาไม่นาน และเห็นผลจริง มาให้ลองยืดเส้นยืดสายต้านไขมันกัน
     โปรแกรมคาร์ดิโอ เริ่มอุ่นเครื่องเพื่อกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย โดยเดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆ 5 นาที จากนั้นเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น 5 นาที แล้วพักสัก 2 นาที

     ท่าจั้มพ์ ยืนตัวตรง เท้าห่างประมาณช่วงไหล่ ทิ้งน้ำหนักตัวที่ปลายเท้า มือทั้งสองข้างชูดัมบ์เบลน้ำหนักครึ่งกิโลกรัมขึ้นเหนือศีรษะ งอข้อศอกเล็กน้อย กระโดด 5 ครั้ง แล้วเหยียดแขนลงข้างหน้า พักสักครู่ แล้วชูแขนขึ้น ทำซ้ำ 5 รอบ

     ท่าเครื่องบิน ยืนตัวตรง เท้าห่างประมาณช่วงไหล่ แขนทั้งสองข้างถือดัมบ์เบล เตะขาซ้ายไปด้านหลัง (ไม่ต้องเหยียดตรง) โน้มตัวไปข้างหน้าให้หลังขนานกับพื้น เมื่อทรงตัวได้เริ่มกางแขนออกให้ขนานกับพื้น เกร็งค้างไว้ประมาณ 5 วินาที แล้วจึงเอาแขนลง สลับขา ทำซ้ำ 12 รอบ

    ท่าปั่นจักยานสลับข้าง นอนหงาย มือทั้งสองประสานไว้ที่ท้ายทอย ยกขาขึ้นทำท่าเหมือนปั่นจักรยานในอากาศ ยกไหล่ซ้ายบิดตัวไปทางขวา สลับข้าง 3 ครั้ง ปล่อยศีรษะแนบพื้น มือยังคงประสานที่ท้ายทอย ประมาณ 5 วินาที แล้วทำซ้ำอีก 5 รอบ

     ท่าวงกลม โดยยืนตัวตรง ปลายเท้าแยกห่างประมาณ 2 ช่วงไหล่ ก้มตัว เหยียดแขนตรง ปลายนิ้วแตะพื้น วาดแขนออกด้านข้างวนเป็นวงกลม พักสักครู่ก่อนทำซ้ำ 10 รอบ

      สำหรับท่าที่ 2 และ 4 หากเร่งจังหวะได้เร็วขึ้นจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานได้ดียิ่งขึ้น

แหล่งข้อมูล
http://women.thaiza.com/5+ท่า+ลด+500+กิโลแคลอรี-211668.html

ครั้งหนึ่งในชีวิต 12 สถานที่ที่ต้องไปเยือน



เกิดมาทั้งที ณวัฒน์ อิสรไกรศีล พิธีกร "คุยแหกโค้ง" และ "ทูไนท์โชว์" และนักเดินทางท่องเที่ยวชื่อดังบอกว่าที่เหล่านี้พลาดไม่ได้...

1. สวนอุเอโนะ (โตเกียว)
 มีสวนดอกไม้ที่สวยที่สุดและสามารถทำกิจกรรมมากมาย ในฤดูใบไม้ผลิจะมีดอกซากุระสวยที่สุดในโลก

2. มาชูปิกชู (เปรู)
 เป็นอาณาจักรเก่าที่สูญหายไปจากแผ่นดิน เคยรุ่งเรืองจนเป็นศูนย์กลางด้านการปกครอง ถือว่าเป็นเมืองในอาณาจักรอินคา ที่ยังคงความสมบูรณ์ที่สุดอยู่ในยอดเขา แต่การเดินทางค่อนข้างลำบาก

 3. แม่น้ำอะเมซอน (บราซิล)
ยังมีคนอินเดียนแดงเก่าแก่อยู่ริมแม่น้ำอะเมซอนมากมาย ถ้าจะไปต้องไปเมืองมาเนาส์ ที่เป็นศูนย์กลางของอินเดียนแดงสมัยก่อน ภาษาท้องถิ่นจะมีทั้งอินเดียนแดง และโปรตุเกสยังมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมให้เราเห็นกันอยู่

4. ภูเขาจุงพราวช์ (สวิตเซอร์แลนด์) 
 ถือเป็นสุดยอดของภูเขาที่คุณจะได้ชมความงามระหว่างเดินทางขึ้นไป ซึ่งมีขบวนรถไฟที่ขึ้นไปถึงยอดเขา และมีลานประติมากรรมน้ำแข็งอยู่ด้านบนมีภัตตาคารสวยๆ ที่จุดที่สูงที่สุดในยุโรป

5. สมิธโซเนียน (สหรัฐฯ)
ถ้าพูดถึงพิพิธภัณฑ์ ยังไม่มีที่ไหนน่าไปเท่าสมิธโซเนียน จะแยกเป็นโลกแห่งอนาคต และรวมถึงสิ่งสำคัญที่เคยใช้บนโลก ถ้าใครสนใจเรื่องที่ใหญ่ ๆ อัพเดตของโลก ถ้าใครชอบเรื่องของความรู้วิชาการ

6. แกรนด์แคนยอน (เนวาดา-แอริโซนา)
ความสวยที่เกิดจากเปลือกโลกที่มีระดับต่างกันจากน้ำเซาะ พายุทราย ไฮไลต์อยู่ที่การนั่งเฮลิคอปเตอร์ชมบางส่วนของแกรนด์แคยอน ถ้าได้ไปอเมริกาฝั่งตะวันตกก็ควรจะไปที่นี่ล่ะ

7. หลวงพระบาง (ลาว) 
เมืองมรดกโลก ทั้งเมืองถือได้ว่าคลาสสิกและสวยงามที่สุด นอกจากธรรมชาติของเมืองยังมีวิถีชีวิตของผู้คน ยังเก็บโครงสร้างของเมืองเก่าที่เป็นมรดกโลกทิ้งไว้ และเรื่องของอาหารการกินก็ยังมีรสชาติของคนหลวงพระบางแท้ ๆ อยู่มากมาย

8. สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่มอสโก
เป็นสถาปัตยกรรมที่อยู่ใต้ดินที่สวยที่สุดในโลกใบนี้ เดิมทีเป็นพระราชวังที่อยู่ใต้ดิน มีทั้งรูปปั้น เรื่องราวตามฝาผนังที่น่าสนใจ ถือว่าเก่าแก่ที่สุดในโลก ใครที่สนใจด้านประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมไม่ควรพลาด

9. นอร์ธเขต (นอร์เวย์)
 อยู่เหนือสุดที่เราสามารถเดินทางไปถึงได้ ตอนเดือนพฤษภาคม-กันยายน ก็จะเห็นพระอาทิตย์ยามเที่ยงคืนส่องแสงอยู่ เป็นที่เดียวในโลกที่เราจะเห็นพระอาทิตย์ตกลงเป็นรูปตัววี

10. อิสตันบูล (ตรุกี)
ถือเป็นมหานครของทั้งทวีปเอเชียและยุโรป ที่สำคัญคือเป็นเมืองหลวงเก่าของอาณาจักรไบแซนไทน์ มีวัฒนธรรมของโรมัน และออตโตมันผสมกัน มีของแปลกๆ ให้ดูเยอะ

11. เพตรา นครสีชมพู (จอร์แดน)
มรดกโลกที่น่าสนใจเพราะเป็นเมืองที่ขุดเข้าไปในหุบเขา สร้างมาตั้งแต่สมัยกรีก มีมวลของหินหลายประเภทโดยเฉพาะหินบะซอลต์กับหินทราย เมื่อถูกออกซิเจนมาก ๆ จึงเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อน ๆ เลยได้ชื่อว่าเป็นเมืองสีชมพู

12. น้ำตกไนแองการ่า 
 เป็นพรมแดนระหว่างอเมริกาและแคนาดาเป็นน้ำตกที่มีความโรแมนติก ปัจจุบันก็สามารถลงไปชมน้ำตกทางด้านใต้ได้ สามารถเอามือไปสัมผัสน้ำตกใกล้ ๆ และล่องเรือในน้ำตกลอดใต้น้ำตก ต่างจากน้ำตกอื่น ๆ ที่เราอาจจะได้แต่มองห่าง ๆ

แหล่งข้อมูล

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

เรื่องน่ารู้ ที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับ พม่า

เด็กดีดอทคอม :: 8 เรื่องน่ารู้ ที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับ "พม่า"
           การใช้จ่ายในพม่านั้น สามารถ ใช้ได้ทั้งเงินดอลลาร์อเมริกา (USD) และเงินจ๊าด (KYAT) ที่เป็นสกุลของพม่า โดย 1 ดอลลาร์ จะตกอยู่ที่ประมาณ 850 จ๊าด แต่ยังไงก็ตาม เงินจ๊าดก็เป็นที่นิยมกว่าอยู่ดี และมีข้อแม้ว่า หากอยากจ่ายเป็นเงินดอลลาร์ แบงค์ที่ใช้จะต้องเป็นแบงค์ใหม่เท่านั้น ห้ามมีรอยพับหรือรอยพับเด็ดขาด ไม่งั้นร้านค้าต่างๆ จะไม่รับ (แปลกมั้ย) แต่ในขณะเดียวกัน แบงค์เงินจ๊าดที่ใช้กันกลับเก่ากึ๊ก แถมบางใบก็จะขาดอยู่รอมร่ออีกต่างหาก


           ในพม่ามีคนอินเดียอพยพเข้ามาอาศัยเป็นจำนวนมาก เพราะ อินเดียอยู่ติดกับพม่าทางด้านตะวันตก ทำให้มีคนอินเดียอพยพเข้ามาอาศัยเป็นจำนวนไม่น้อย เรียกได้ว่าเดินไปทุกๆ 10 ก้าวอย่างน้อยจะต้องเจอคนอินเดีย 1 คนแน่ๆ


           ผู้หญิงพม่านิยมทาทะนาคาจริง ! จริงๆ ใช้คำว่านิยมอาจจะน้อยไป เพราะ 8 ใน 10 คนของผู้หญิงพม่าที่เดินมา ต้องทาทะนาคา ! ทะนาคาเป็นต้นไม้ที่มีต้นกำเนิดในพม่า สามารถตัดเอาไม้ของทะนาคามาฝนกับหินเพื่อให้ได้ผงทะนาคา ผสมน้ำเล็กน้อย จากนั้นใช้ทาวนๆ ที่แก้ม แถมยังว่ากันว่า ใครทาวนๆ บนแก้มได้ยิ่งกลมถือว่ายิ่งดูสวยมาก ปัจจุบันทะนาคาถือเป็นของฝากยอดนิยมจากพม่า กลิ่นที่นิยมมีทั้งกลิ่นธรรมชาติ กลิ่นมะนาว และกลิ่นกุหลาบ
เด็กดีดอทคอม :: 8 เรื่องน่ารู้ ที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับ "พม่า"


           คนพม่าไม่ค่อยมีกลิ่นตัว เหมือน จะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อและฟังดูแปลกๆ แต่เคล็ดลับการไม่มีกลิ่นตัวของคนพม่านั่นเอง เพราะนอกจากจะใช้ทาบนหน้าได้แล้ว คนพม่ายังใช้ทะนาคาทาตามรักแร้และจุดอับต่างๆ เพื่อระงับกลิ่นตัวอีกด้วย ของเค้าดีจริงนะเออ !
เด็กดีดอทคอม :: 8 เรื่องน่ารู้ ที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับ "พม่า"


           เมื่อผู้หญิงพม่าคู่กับทะนาคา ผู้ชายพม่าคู่กับหมาก เพราะ ผู้ชายที่นี่นิยมเคี้ยวหมากมากๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่เวลาเราเดินไปตามถนนต่างๆ มักจะเห็นรอยแดงๆ ของหมากที่ถูกถุยอยู่ตามพื้นถนน (ระวังเหยียบ) โดยเฉพาะเวลานั่งรถ เรามักจะเห็นผู้ชายพม่าเปิดกระจกรถแล้วถุยหมากทิ้งอย่างแรง เรียกได้ว่าเล่นเอาแอบเสียวว่าจะกระเด็นมาโดนมั้ย เหอๆ


           ที่พม่าแม้กระทั่งในเมืองย่างกุ้งที่ว่าเจริญที่สุด มีไฟตกทุกวัน  แม้ กระทั่งในโรงแรมใหญ่ๆ ก็เถอะ ดังนั้นตามบ้านผู้คนมักจะมีเครื่องปั่นไฟตั้งไว้หน้าบ้าน บางทีไฟก็ตกแค่แป๊บๆ แต่ถ้าในเมืองที่ห่างไกลออกไป ไฟอาจจะตกครั้งละเป็นชั่วโมงก็ได้ ดังนั้นถ้าใครไปเที่ยวพม่าในช่วงหน้าร้อน อาจจะต้องทำใจหน่อย
         
ในย่างกุ้งก็มีห้างเหมือนกันนะ ! หลาย คนคิดว่าพม่าเป็นประเทศที่ยังไม่เจริญ ยังไม่น่าจะมีห้าง แต่ที่จริงแล้วในย่างกุ้งและในเมืองอื่นๆ ก็มีห้างอยู่หลายแห่ง แต่สภาพทั่วไปค่อนข้างเก่าและดูจะล้าหลังกว่าไทยประมาณ 30-40 ปี และห้างส่วนมากจะมีแค่ 2-3 ชั้นเท่านั้น นอกจากนี้ที่ห้างต่างๆ เราอาจจะได้เห็นผู้หญิงพม่านุ่งสั้น ใส่เกาะอกบ้างอะไรบ้าง ซึ่งถือว่าเป็นของหาดูยากจริงๆ เพราะส่วนใหญ่ผู้หญิงพม่ายังนิยมใส่ผ้าถุงอยู่นั่นเองค่ะ

เด็กดีดอทคอม :: 8 เรื่องน่ารู้ ที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับ "พม่า"
            ย่างกุ้งไม่ใช่เมืองหลวงของพม่าอีกต่อไป เพราะ เมืองหลวงของพม่าปัจจุบันคือเมืองเนปีดอซึ่งอยู่ห่างจากย่างกุ้งประมาณ 320 กิโลเมตร โดยรัฐบาลพม่าได้ย้ายเมืองหลวงตามคำทำนายของโหรของนายพลตาน ฉ่วย แต่จริงๆ แล้วเหมือนจะยังไม่มีใครรู้เหตุผลที่ชัดเจนของการย้ายเมืองหลวงนี้ซักเท่าไร นัก แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเนปีดอเหมือนจะยังสร้างไม่เสร็จดีและยังมีประชาชนอาศัยอยู่ไม่มาก นัก
เด็กดีดอทคอม :: 8 เรื่องน่ารู้ ที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับ "พม่า"

แหล่งข้อมูล
http://board.postjung.com/546298.html

ความหมายของคำว่า "Street Fashion"

Street Fashion คำนี้มาจากไหน
LONDON  เมืองใหญ่ที่ก่อกำเนิดแนวแฟชั่นที่โดดเด่นกว่าที่อื่นๆใดในโลก และเป็นต้นกำเนิด
บัญญัติศัพท์  Street Fashion  เพราะที่นี่ไม่มีห้องเสื้อชั้นสูง หรือที่เรียก Haute Coutureเพราะด้วยโครงสร้างของประชากรคนอังกฤษ ที่สามารถแบ่งชั้นของประชากรได้ด้วยระบบภาษี
 จึงทำให้คนชั้นกลางเป็นประชากรหลักของประเทศ!! และมีคนชั้นล่าง (รายได้น้อย) บ้างเล็กน้อย
ส่วนชนชั้นสูงนั้นน้อยมาก...ผู้คนส่วนใหญ่เลยค่อนข้างมีวิถีชีวิตในระดับที่ไม่ได้ แตกต่างกันมากนัก 

 เมื่อคนชั้นสูงมีน้อย ก็ทำให้วิถีชีวิตแฟชั่นแบบคนชั้น Aristocrat  ไม่ได้เป็นแบบแผนให้คนทั่วประเทศ
ปฎิบัติตามเฉกเช่นแบบชาวฝรั่งเศส คนชนชั้นกลางจำนวนมากจึงมีบทบาทในการแสดงออกทางแฟชั่น
และเหมือนเป็นตัวแทนภาพลักษณ์ของชาวอังกฤษในเรื่องรสนิยมด้านแฟชั่น ประกอบกับนโยบายผลิตประชากร ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เกิดปรากฎการณ์ baby boom เกิดหนุ่มสาววัยรุ่นยุค
 60's มากมายที่ไม่มีกำลังซื้อแฟชั่นหรูหรา ซึ่งช่วงนั้นจะได้รับอิทธิพลจาก Haute Couture ของฝรั่งเศส
ทำให้แฟชั่นยุคนั้นจะดูไฮโซ Exclusive ยาวบานรุ่มร่าม จับเดรปตีเกล็ดแยกย้วย เอวคอดอกชันตั้ง..
ด้วยสเตย์รัดหน้าท้อง (โชคดีที่ไม่เกิดยุคนั้น) ทำให้วัยรุ่นยุคเบบี้บูมก่อปฏิกิริยาปฏิเสธแฟชั่นเหล่านั้น
 เพราะใส่แล้วแก่ทันตาเห็น แล้วคิดว่าทำไม๊ ทำไม...ถึงไม่มีชุดเก๋ๆ ให้วัยรุ่นใส่บ้าง (ว่ะคะ!!)
ผลทำให้ทุกคนมีปฏิกิริยาออกมา ในแนวเดียวกันหมด คือปฏิเสธความหรูหรา ปฏิเสธเรือนร่างแบบเอวคอดอกชันสะโพกผาย มาสู่เรือนร่างแบบใหม่อกแฟบ ไม่เน้นเอวสะโพกเล็กตัวผอม ซึ่งเป็นเรือนร่างแบบเด็กๆ ที่ยังไม่ค่อยจะมีทรวดทรง


            แฟชั่นยุค 60's นั้นจึงเป็นรูปทรงเสื้อผ้าเด็กที่สั้นกุดทรง A ชุด sack   และมีดีเทลเก๋ๆเรียบๆ ไม่ฉวัดเฉวียน หรือรุ่มร่าม แต่สีสันสดจัดจี๊ดจ๊าด ตรงข้ามกับคำว่า Good Taste โดยสิ้นเชิงซึ่งสมัยนี้ก็มีพวกไฮโซ (ทั้งจริงและพยายามจะจริง) บ้า brand กัดแขวะ แนวสตรีทเหมือนกันว่า ไม่มี tasteเมื่อกระแสแฟชั่นชนชั้นกลางได้ก่อตัวและลุกลามไปทั่วเกาะอังกฤษ และก็ข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังฝั่งยุโรป รวมถึงอเมริกา  ยิ่งทำให้บทบาทแฟชั่นของชนชั้นกลางยิ่งชัดเจน และมีพลังมาก และสามารถพูดได้เลยว่า
จวบจนบัดนี้ยังไม่มีแบรนด์ใด หรือดีไซเนอร์คนไหน ห้องเสื้อชั้นสูงไหนๆ   สามารถจูงจมูก
คนอังกฤษให้แต่งตัวแนวอื่นได้ ทั้งนี้เป็นเพราะคนอังกฤษจะมีทัศนคติที่ค่อนข้างปฏิเสธสังคม มีความรุนแรงและชัดเจนทางความคิดการแสดงออก มีใจรักเสรีภาพแบบสุดขั้ว ที่สำคัญที่สุดคือ รู้จักตัวตนของตนเองอย่างชัดเจน นั่นยิ่งทำให้ยิ่งเกิดการรวมกลุ่มแก๊งค์เป็นชน
กลุ่มเล็กกลุ่มน้อยในสังคม (sub-culture) ที่มีวิถีปฎิบัติตามครรลองของตนเองมากมายนับไม่ถ้วน
ไม่ว่าจะเป็นแนว Punk, Rocker, Hippies, Hip Hop, Skinhead, Grunge, Gothic ฯลฯ 
    เสรีภาพในการแสดงออกที่อยู่ในสายเลือด ทำให้ถนนทุกสายในเกาะอังกฤษ
ได้ก่อเกิดให้กำเนิดความหลากหลายของแฟชั่น ผู้คนสนุกกับการแต่งตัวกันอย่างแตกต่าง โดยที่สไตล์ของแต่ละคนมีความแตกต่างบนพื้นฐานของ Self Identity 
ซึ่งไม่ได้แตกต่างตามสถานะทางสังคม-เศรษฐกิจ เหมือนประเทศอื่นๆ ไม่ได้แตกต่างตามอาชีพ ฐานะ วัย เชื้อชาติ ผิวพรรณ แต่เป็นทัศนคติในการเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้กลับเป็นกราฟ
ที่ตรงกันข้ามกับคนไทย (เกือบสิ้นเชิง) อย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะคนไทยส่วนใหญ่ (ไม่ทั้งหมด)
จะนิยมการแต่งตัวอิงกระแสและตามแฟชั่น ตามเทรนด์ กันอย่างโจ่งแจ้ง (แบบไม่แคร์จะเจอแฝด)
ก็แม้แต่ BB ยังเป็นเรื่องแฟชั่นฮิตได้ (แทบจะเป็นประเทศเดียวในโลก) ที่แม้แต่เด็กนักเรียนยังมี BB
เพื่อเอาไว้แชตเม้าธ์ เรื่องสัพเพเหระ ตั้งแต่กินข้าว เข้านอน เดินเล่น .....อื่นๆ อีกม๊ากม๊ายมากมาย
โดยแทบจะไม่หันมาคุยกับเพื่อนที่นั่งโต๊ะกินข้าวโต๊ะเดียวกันแล้ว เพราะมัวแต่แชต (กำเวงจริงๆ)
***แต่ถ้าใช้เพราะ function ไม่ใช่เพราะตาม fashion มันก็อีกเรื่องนึงนะคะ***
    
             ที่เล่ามาทั้งหมดเพียงเพื่อจะบอกว่า แฟชั่นที่เกาะอังกฤษเกิดขึ้นทุกวี่วัน บนท้องถนนที่ผับมุมตึกที่ย่านกลางคืนของ Soho ที่ถนนชอปปิ้ง  South Kensington ที่ลานหน้ามิวเซียม Tate Modern ฯลฯ ที่นี่มีแต่ Street Fashion ที่นี่ก่อกำเนิดแฟชั่นใหม่ๆ  ...ทุกวัน...ทุกนาที ไม่ใช่เป็นฤดูกาลแบบ สปริง-ซัมเมอร์ เฉกเช่นที่ประเทศอื่นๆ เป็นกัน



แหล่งข้อมูล 

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

วิธีทำต้มจืดด้วยไมโครเวฟ




ผมก็เป็นนิสิตคนหนึ่งที่อยู่หอพักครับ อุปกรณ์เครื่องครัวก็ไม่มี
จะพอมีก็แค่กาน้ำร้อน กับไมโครเวฟไว้สำหรับอุ่นอาหารกับต้มมาม่า
เลยทำอาหารกินเองไม่ได้ ต้องซื้อกินเอาตลอด
แต่วันนี้ผมไปเจอคลิปการทำต้มจืดด้วยเครื่องไมโครเวฟมา
ขอบอกว่าแจ่มมากครับ ถ้าเพื่อนๆคนไหนสนใจก็ลองทำดูนะครับ


แหล่งที่มา
http://www.youtube.com/watch?v=VEXa5j5W5jk