วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

ความหมายของคำว่า "Street Fashion"

Street Fashion คำนี้มาจากไหน
LONDON  เมืองใหญ่ที่ก่อกำเนิดแนวแฟชั่นที่โดดเด่นกว่าที่อื่นๆใดในโลก และเป็นต้นกำเนิด
บัญญัติศัพท์  Street Fashion  เพราะที่นี่ไม่มีห้องเสื้อชั้นสูง หรือที่เรียก Haute Coutureเพราะด้วยโครงสร้างของประชากรคนอังกฤษ ที่สามารถแบ่งชั้นของประชากรได้ด้วยระบบภาษี
 จึงทำให้คนชั้นกลางเป็นประชากรหลักของประเทศ!! และมีคนชั้นล่าง (รายได้น้อย) บ้างเล็กน้อย
ส่วนชนชั้นสูงนั้นน้อยมาก...ผู้คนส่วนใหญ่เลยค่อนข้างมีวิถีชีวิตในระดับที่ไม่ได้ แตกต่างกันมากนัก 

 เมื่อคนชั้นสูงมีน้อย ก็ทำให้วิถีชีวิตแฟชั่นแบบคนชั้น Aristocrat  ไม่ได้เป็นแบบแผนให้คนทั่วประเทศ
ปฎิบัติตามเฉกเช่นแบบชาวฝรั่งเศส คนชนชั้นกลางจำนวนมากจึงมีบทบาทในการแสดงออกทางแฟชั่น
และเหมือนเป็นตัวแทนภาพลักษณ์ของชาวอังกฤษในเรื่องรสนิยมด้านแฟชั่น ประกอบกับนโยบายผลิตประชากร ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เกิดปรากฎการณ์ baby boom เกิดหนุ่มสาววัยรุ่นยุค
 60's มากมายที่ไม่มีกำลังซื้อแฟชั่นหรูหรา ซึ่งช่วงนั้นจะได้รับอิทธิพลจาก Haute Couture ของฝรั่งเศส
ทำให้แฟชั่นยุคนั้นจะดูไฮโซ Exclusive ยาวบานรุ่มร่าม จับเดรปตีเกล็ดแยกย้วย เอวคอดอกชันตั้ง..
ด้วยสเตย์รัดหน้าท้อง (โชคดีที่ไม่เกิดยุคนั้น) ทำให้วัยรุ่นยุคเบบี้บูมก่อปฏิกิริยาปฏิเสธแฟชั่นเหล่านั้น
 เพราะใส่แล้วแก่ทันตาเห็น แล้วคิดว่าทำไม๊ ทำไม...ถึงไม่มีชุดเก๋ๆ ให้วัยรุ่นใส่บ้าง (ว่ะคะ!!)
ผลทำให้ทุกคนมีปฏิกิริยาออกมา ในแนวเดียวกันหมด คือปฏิเสธความหรูหรา ปฏิเสธเรือนร่างแบบเอวคอดอกชันสะโพกผาย มาสู่เรือนร่างแบบใหม่อกแฟบ ไม่เน้นเอวสะโพกเล็กตัวผอม ซึ่งเป็นเรือนร่างแบบเด็กๆ ที่ยังไม่ค่อยจะมีทรวดทรง


            แฟชั่นยุค 60's นั้นจึงเป็นรูปทรงเสื้อผ้าเด็กที่สั้นกุดทรง A ชุด sack   และมีดีเทลเก๋ๆเรียบๆ ไม่ฉวัดเฉวียน หรือรุ่มร่าม แต่สีสันสดจัดจี๊ดจ๊าด ตรงข้ามกับคำว่า Good Taste โดยสิ้นเชิงซึ่งสมัยนี้ก็มีพวกไฮโซ (ทั้งจริงและพยายามจะจริง) บ้า brand กัดแขวะ แนวสตรีทเหมือนกันว่า ไม่มี tasteเมื่อกระแสแฟชั่นชนชั้นกลางได้ก่อตัวและลุกลามไปทั่วเกาะอังกฤษ และก็ข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังฝั่งยุโรป รวมถึงอเมริกา  ยิ่งทำให้บทบาทแฟชั่นของชนชั้นกลางยิ่งชัดเจน และมีพลังมาก และสามารถพูดได้เลยว่า
จวบจนบัดนี้ยังไม่มีแบรนด์ใด หรือดีไซเนอร์คนไหน ห้องเสื้อชั้นสูงไหนๆ   สามารถจูงจมูก
คนอังกฤษให้แต่งตัวแนวอื่นได้ ทั้งนี้เป็นเพราะคนอังกฤษจะมีทัศนคติที่ค่อนข้างปฏิเสธสังคม มีความรุนแรงและชัดเจนทางความคิดการแสดงออก มีใจรักเสรีภาพแบบสุดขั้ว ที่สำคัญที่สุดคือ รู้จักตัวตนของตนเองอย่างชัดเจน นั่นยิ่งทำให้ยิ่งเกิดการรวมกลุ่มแก๊งค์เป็นชน
กลุ่มเล็กกลุ่มน้อยในสังคม (sub-culture) ที่มีวิถีปฎิบัติตามครรลองของตนเองมากมายนับไม่ถ้วน
ไม่ว่าจะเป็นแนว Punk, Rocker, Hippies, Hip Hop, Skinhead, Grunge, Gothic ฯลฯ 
    เสรีภาพในการแสดงออกที่อยู่ในสายเลือด ทำให้ถนนทุกสายในเกาะอังกฤษ
ได้ก่อเกิดให้กำเนิดความหลากหลายของแฟชั่น ผู้คนสนุกกับการแต่งตัวกันอย่างแตกต่าง โดยที่สไตล์ของแต่ละคนมีความแตกต่างบนพื้นฐานของ Self Identity 
ซึ่งไม่ได้แตกต่างตามสถานะทางสังคม-เศรษฐกิจ เหมือนประเทศอื่นๆ ไม่ได้แตกต่างตามอาชีพ ฐานะ วัย เชื้อชาติ ผิวพรรณ แต่เป็นทัศนคติในการเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้กลับเป็นกราฟ
ที่ตรงกันข้ามกับคนไทย (เกือบสิ้นเชิง) อย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะคนไทยส่วนใหญ่ (ไม่ทั้งหมด)
จะนิยมการแต่งตัวอิงกระแสและตามแฟชั่น ตามเทรนด์ กันอย่างโจ่งแจ้ง (แบบไม่แคร์จะเจอแฝด)
ก็แม้แต่ BB ยังเป็นเรื่องแฟชั่นฮิตได้ (แทบจะเป็นประเทศเดียวในโลก) ที่แม้แต่เด็กนักเรียนยังมี BB
เพื่อเอาไว้แชตเม้าธ์ เรื่องสัพเพเหระ ตั้งแต่กินข้าว เข้านอน เดินเล่น .....อื่นๆ อีกม๊ากม๊ายมากมาย
โดยแทบจะไม่หันมาคุยกับเพื่อนที่นั่งโต๊ะกินข้าวโต๊ะเดียวกันแล้ว เพราะมัวแต่แชต (กำเวงจริงๆ)
***แต่ถ้าใช้เพราะ function ไม่ใช่เพราะตาม fashion มันก็อีกเรื่องนึงนะคะ***
    
             ที่เล่ามาทั้งหมดเพียงเพื่อจะบอกว่า แฟชั่นที่เกาะอังกฤษเกิดขึ้นทุกวี่วัน บนท้องถนนที่ผับมุมตึกที่ย่านกลางคืนของ Soho ที่ถนนชอปปิ้ง  South Kensington ที่ลานหน้ามิวเซียม Tate Modern ฯลฯ ที่นี่มีแต่ Street Fashion ที่นี่ก่อกำเนิดแฟชั่นใหม่ๆ  ...ทุกวัน...ทุกนาที ไม่ใช่เป็นฤดูกาลแบบ สปริง-ซัมเมอร์ เฉกเช่นที่ประเทศอื่นๆ เป็นกัน



แหล่งข้อมูล 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น